วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

#ก้อนหินก้อนนั้นที่...



เพราะก้อนหินก้อนนั้นที่มีคนบอกฉันว่า...


"มัวแต่เก็บเอาทุกอย่างมาเป็นสาระ เอาใจไปใส่แต่สิ่งภายนอก
 ไม่เคยเอาใจใส่ภายในตัวเอง เธอจะเหนื่อยมากกว่าคนอื่นนะ"

บางทีเราก็เก็บอะไรก็ไม่รู้รอบๆ ตัวมาแบกไว้ 
โดยไม่คิดเลยว่า เรามีกำลังแบกได้แค่ไหน 
อะไรควรเก็บ อะไรไม่ควรเก็บ สักแต่ว่าเก็บจนบางครั้งกว่าจะรู้ตัวก็หนักจนเกินทนไหว
ซ้ำร้ายไม่รู้จะวางอย่างไร พอเกินกำลังกลับเผลอทิ้งสิ่งที่ควรเก็บไว้อีก...
แต่ก็น้อยคนนะที่จะวางหินที่มีได้หมด อย่างน้อยๆก็อาจมีหินก้อนเล็กๆอยู่ในมือโดยไม่รู้ตัว
บางทีเราก็ควรที่จะเลือกที่จะเก็บหินบางก้อนมาถือ
ใช่ว่าพอใครโยนหินมาเราก็ต้องรับไว้ทุกก้อน
เพราะสุดท้ายคนที่ลำบากก็เป็นตัวเรานั่นแหละ..
หนักจนหมดแรงที่จะเดินต่อ ถ้าก้อนหินก้อนไหนที่เบาลงแล้วก็ค่อยๆวางมันลง

ถ้าหินที่ถืออยู่มันหนัก ทำไมไม่วางลงละ 
วางแล้วก็เบาขี้น สบายใจขึ้น

บางคนก็พบว่าหินบางก้อนมันหนัก และเราเองก็แบกมันไว้นาน 
เกินกว่าที่จะปล่อยมันได้ในทันทีทันใด
ถ้าเกิดจู่ๆนึกจะวางแล้วปล่อยมันลงทันทีทั้งๆที่แบกมันมานาน 
ร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน 
ก้อนหินก้อนนั้นก็คงไม่พ้นเท้าของเราเอง... 
บางทีอาจต้องใช้เวลาและกำลังใจ ใช้สติไตร่ตรองดูว่า 
เราแบกหินไว้ทำไม แบกไว้แล้วได้อะไร...
ไม่มีใครทำร้ายเราได้ เท่ากับใจของเราทำมันเอง 
พอจิตใจกล้าแข็งลองวางมันลงดู 
บางทีมันอาจเป็นเพียงเพราะใจเราเองที่คิดไปก็เท่านั้น..

หรือบางที เราก็ไม่จำเป็นต้องวางมันลง
แต่เรียนรู้ว่า เรามีก้อนหินก้อนนี้อยู่กับตัว
และเราจะทำอย่างไรดีให้เดินทางไปกับมันได้
โดยที่ ไม่คิดว่ามันจะทำให้ชีวิตเราหนักขึ้น น่าจะดีกว่า

ถ้าเปรียบก้อนหินเหมือนกับลูก 
ที่พ่อแม่พร้อมจะแบกภาระนั้นไว้ตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะเจอมรสุม พายุ หรือน้ำหนักที่มากแค่ไหน
 พ่อแม่ก็ยินดีที่จะแบก และเดินทางไปกับมันให้ได้

ถ้าเปรียบก้อนหินเป็นความรัก 
เราอาจจะพบก้อนหินที่เรายินดีที่จะแบก
แต่ถ้าวันหนึ่งพบว่าก้อนหินก้อนนั้นไม่เหมาะกับเรา 
มันหนักเกินกว่ากำลังของเราจะรับไหว
ก็วางลงเถอะ...
เพราะยิ่งดึงดันที่จะถือไว้ ก็ตัวเรานี่แหละที่จะเจ็บปวด
เมื่อเวลาผ่านไป วันที่เราเข้มแข็งขึ้น
 ค่อยเดินทางหาก้อนหินของตัวเองอีกครั้ง
บางทีหากเราหันกลับไป....
 ก้อนหินก้อนนั้นอาจจะเจอกับเจ้าของมันแล้วก็ได้



สิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องของมันอยู่แล้ว
มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด 
#หลวงพ่อชา สุภัทโท

"การปล่อยวาง" 
ความจริงมันหมายความอย่างนี้
อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง
แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ
พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ
ก็มาคิดอีกและว่า
เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว
เราก็ไม่มีอะไรเหลือนะซิ
ก็เลยต้องแบกอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมทิ้ง

ถึงจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ
แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้
เราก็ยังไม่ยอมโยนอยู่นั่นแหละ
เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้
จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มทีจนแบกไม่ไหวแล้ว ก็เลยปล่อยมันตกลง

ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ
ก็เกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลย
เราจะรู้สึกสบาย แล้วก็รู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า
การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด

แต่ตอนที่เราแบกอยุู่นั้น
เราไม่รู้หรอกว่า การปล่อยวางนั้น 
มันมีประโยชน์เพียงใด

...................







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น